วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

ศาสตร์แห่งกริยะโยคะ

ศาสตร์แห่งกริยะโยคะ
 

ศาสตร์แห่งกริยะโยคะตามที่กล่าวถึงบ่อยๆในหนังสือเล่มนี้(Autobiography of A Yogi by Paramahansa Yogananda)  ได้แพร่หลายในอินเดียสมัยใหม่โดยอาศัยท่านคุรุลาหิริ มหาสัย คุรุของคุรุของอาตมาอีกทีหนึ่ง คำว่า กริยะ มีรากศัพท์จากภาษาสันสกฤตว่า กริ แปลว่า การทำ, การแสดง, การมีปฏิกริยา มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า กรรม หลักแห่งเหตุและผล เพราะฉะนั้น คำว่า กริยะโยคะ จึงมีความหมายว่า การประกอบเข้า(โยคะ) กับพระเป็นเจ้าโดยอาศัยการกระทำหรือพิธีกรรม(กริยะ) อย่างหนึ่งโยคีผู้ปฏิบัติเทคนิควิธีนี้ด้วยศรัทธาย่อมจะค่อยๆหลุดพ้นจากกรรมหรือจากโซ่ตรวนแห่งสภาวะสมดุลแห่งเหตุและผล


เนื่องจากมีข้อห้ามโบราณอย่างหนึ่งห้ามเอาไว้ อาตมาก็จึงจะไม่อธิบายเรื่องของกริยะ-โยคะนี้อย่างเต็มที่ลงในหนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สาธารณชนได้อ่านทั่วกัน เทคนิควิธีของโยคะแท้ๆอาจหาอ่านได้จากหนังสือ กริยะบัน(กริยะโยคี) ของสมาคม โยโคทะ สัตสังคะ โซไซเอตตี้ หรือ สมาคม เซลฟ์เรียไลเซชั่น เฟลโลชิฟ ในที่นี้จะนำเสนอเฉพาะแบบกว้างๆเท่านั้น

กริยะโยคะ เป็นวิธีทางจิตและทางกายง่ายๆที่จะทำให้โลหิตของมนุษย์ถูกขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซซ์ออกมาแล้วอัดก๊าซออกซิเจนเข้าไปอยู่แทนที่ ปรมาณูหรืออะตอมของออกซิเจนที่ถูกอัดเข้าไปใหม่นี้จะถูกลำเลียงเข้าไปอยู่ในกระแสชีวิตเพื่อไปสร้างความกระชุ่มกระชวยให้แก่มันสมองและศูนย์กลางต่างทีบริเวณสันหลัง เมื่อโยคีสามารถหยุดการสั่งสมของโลหิตที่มีพิษได้แล้วโยคีก็จะสามารถลดหรือป้องกันการเสื่อมโทรมของเนื้อเยื่อในร่างกายได้ โยคีที่มีพัฒนาการในระดับสูงแล้วย่อมสามารถเปลี่ยแปลงเซลล์ในร่างกายให้เป็นพลังงานได้ ท่านอิลิจาห์, ท่านพระเยซู, ท่านกพีระ และศาสดาพยากรณ์อื่นๆ เป็นคุรุในอดีตที่ได้ใช้กริยะโยคะและเทคนิควิธีทำนองเดียวกันนี้ ซึ่งเมื่อใช้แล้วก็จะทำให้ร่างกายของท่านเหล่านี้สามารถแสดงปาฏิหาริย์ไปปรากฏตัวหรือล่องหนหายตัวได้ตามแต่จะต้องการ

กริยะเป็นศาสตร์โบราณ ที่ท่านคุรุลาหิริ มหาสัยรับมาจากมหาคุรุของท่านที่ชื่อ บาบาจี ซึ่งมหาคุรุท่านนี้ได้ค้นพบและทำความกระจ่างให้แก่เทคนิควิธโยคะนี้หลังจากที่มันได้สูญหายไปในยุคมืด ท่านมหาคุรุบาบาจีได้ตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า กริยะโยคะ

กริยะโยคะที่ฉันนำมามอบให้แก่ชาวโลกโดยผ่านทางคุณในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นี้ท่านมหาคุรุบาบาจีบอกกับท่านคุรุลาหิริ มหาสัยเป็นการรื้อฟื้นศาสตร์ทำนองเดียวกันนี้ที่พระกฤษณะนำมามอบให้แก่อรชุนเมื่อครั้งโบราณกาล และต่อมามันก็ได้เป็นที่รู้จักของท่านปตัญชลี ท่านพระเยซู ท่านเซนต์จอห์น ท่านเซนต์พอล และศานุศิษย์คนอื่นๆ

กริยะโยคะนี้พระกฤษณะได้กล่าวถึง 2 ที่ในคัมภีร์ภควัทคีตา คือที่หนึ่งว่าเมื่อนำลมหายใจเข้าไปผสมเข้ากับลมหายใจออกและนำลมหายใจออกไปผสมเข้ากับลมหายใจเข้า โยคีก็จะทำให้ลมหายใจทั้งสองเป็นกลาง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วโยคีก็จะปล่อยพลังลมปราณออกมาจากหัวใจและนำพลังชีวิตให้มาอยู่ในความควบคุมข้อนี้ตีความได้ว่าพระโยคีย่อมสามารถหยุดยั้งการเสื่อมโทรมของร่างกายโดยอาศัยพลังปราณ(พลังชีวิต)ที่ได้เพิ่มขี้นมาจากการหยุดการทำงานของปอดและหัวใจ นอกจากนี้แล้วพระโยคีก็ยังจะสามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเจริญเติบโตในร่างกายโดยอาศัยการควบคุมอปาณะ(พลังกำจัด) เมื่อสามารถทำให้การเสื่อมโทรมและการเจริญเติบโตในร่างกายเป็นกลางได้แล้วพระโยคีก็จะรู้วิธีที่จะควบคุมพลังชีวิต

ส่วนอีกที่หนึ่งในพระคาถาของพระคัมภีร์พระภควัทคีตา มีความว่า พระมุนี(ผู้เชี่ยวชาญในการเข้าสมาธิ) ใดเมื่อทำการแสวงหาเป้าหมายสูงสุดพระมุนี (1)สามารถถอนตนออกจากปรากฏการณ์ภายนอกโดยการจ้องมองไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง และโดยการทำให้กระแสปราณและกระแสอปาณที่อยู่ภายในรูจมูกและในปอดเป็นกลาง (2)สามารถควบคุมจิตและวิญญาณของตน และ(3)สามารถขจัดตัณหา ความกลัวและความโกรธเสียได้ พระมุนีนั้นย่อมจะมีอิสรภาพชั่วนิจนิรันดร์

นอกจากนี้แล้วพระกฤษณะยังกล่าวด้วยว่าพระองค์เมื่ออวตารลงมาคราวหนึ่งได้ทำการถ่ายทอดโยคะที่ไม่มีวันถูกทำลายนี้ให้แก่พระวิวสวัต พระวิวสวัตได้ถ่ายทอดต่อไปให้แก่พระมนูนักกฎหมายผู้ยิ่งใหญ่ พระมนูได้ถ่ายทอดต่อไปให้พระอิกศวากุ องค์ผู้สถาปนาราชวงค์นักรบพระอาทิตย์โบราณของอินเดีย โยคะที่ได้รับการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่งนี้ได้รับการคุ้มครองจากบรรดาพระฤาษีทั้งหลายตลอดมาจนเข้ามาสู่ยุควัตถุนิยม ต่อมาโยคะถูกจำกัดอยู่แต่เฉพาะในหมู่นักบวชและไม่เป็นที่สนใจของคนธรรมดา โยคะก็จึงกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้

กริยะโยคะนี้ ท่านปตัญชลี มุนีโบราณ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนโยคะมากที่สุดท่านหนึ่ง ได้กล่าวถึง กริยะโยคะนี้ ไว้ 2 แห่ง แห่งที่ 1 ท่านได้เขียนไว้ว่ากริยะโยคะนี้ประกอบด้วยการควบคุมร่างกาย ควบคุมจิต และการเพ่งจิตไปที่ โอม ท่านปตัญชลีกล่าวถึงพระเป็นเจ้าว่าคือเสียงทิพย์คือโอมนี้เอง ซึ่งเสียงโอมนี้จะได้ยินเมื่อตอนเข้าสมาธิ เสียงโอมเป็นคำรังสรรค์ของพระเป็นเจ้า เมื่อได้ยินเสียงนี้ก็แสดงว่ามีพระเป็นเจ้ามาอยู่ด้วย แม้แต่คนที่ฝึกโยคะใหม่ๆก็อาจจะได้ยินเสียงโอมนี้ก้องอยู่ข้างในหู เมื่อได้รับการกระตุ้นจากเสียงโอมนี้ผู้ฝึกโยคะก็จะเกิดความมั่นใจว่าตนได้สัมผัสกับอาณาจักรแห่งสวรรค์แล้ว
ท่านปตัญชลีได้กล่าวถึงเทคนิควิธีกริยะโยคะ หรือการควบคุมพลังชีวิตนี้ไว้ในแห่งที่ 2 ว่าการหลุดพ้นจะสามารถบรรลุถึงได้โดยอาศัยปราณยมะ ซึ่งจะสำเร็จได้ก็โดยการตัดเส้นทางการหายใจเข้าและการหายใจออกออกจากกันเสีย

เซนต์พอลรู้จักกริยะโยคะหรือเทคนิคทำนองเดียวกันนี้ ทำให้ท่านสามารถปิดเปิดพลังชีวิตจากสัมผัสทั้ง 5 ของท่านได้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกล้าที่จะพูด(ในคัมภีร์โครินธ์ฉบับที่ 1ในคัมภีร์ไบเบิล)ว่าข้าพเจ้าขอยืนยันกับท่านทั้งหลายว่า จากการที่ข้าพเจ้ามีความปีติปราโมทย์อยู่กับจิตของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานี้ ข้าพเจ้าตายทุกวัน

โดยการใช้วิธีรวมพลังชีวิตทั่วทั้งร่างกายมาไว้ที่เดียวกันภายในร่างกาย(แทนที่จะปล่อยให้ไปอยู่กับอารมณ์ภายนอก) ท่านเซนต์พอลก็มีปีติปราโมทย์จากการที่ได้ใช้วิธีการโยคะอย่างหนึ่งติดต่อกับพระจิตของพระเยซู จากสภาวะจิตที่ได้รับความปีติปราโมทย์ครั้งนี้ เซนต์พอลเกิดความรู้สึกว่าตัวเองได้ตายไปแล้วจากโลกแห่งมายา หรือมีอิสรภาพจากโลกแห่งมายานั่นเอง

ในสภาวะเริ่มแรกของการได้สัมผัสกับพระเป็นเจ้า(สพิกัลปะสมาธิ)นี้ จิตของผู้ภักดีจะผสานเข้ากับพระจิตของพระเป็นเจ้า พลังชีวิตของผู้ภักดีจะถูกดึงออกมาจากร่างกายและร่างกายตอนนั้นจะมีสภาพตายหรือไม่เคลื่อนไหวและแข็งทื่อ แต่โยคีจะยังตระหนักถึงสภาวะที่ไม่เคลื่อนไหวของร่างกายชั่วคราวของตนนี้อยู่ ครั้นเมื่อโยคีก้าวขึ้นสู่สภาวะจิตที่สูงขึ้นไปอีก( นิรพิกัลปะสมาธิ) ท่านก็จะติดต่อกับพระเป็นเจ้าโดยที่คราวนี้ร่างกายจะไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ จิตยังตื่นอยู่เป็นปกติ และแม้ว่าจะปฏิบัติภารกิจเป็นปกติอยู่ในโลกนี้ก็ยังสามารถติดต่อกับพระเป็นเจ้าได้

กริยะโยคะนี้ เป็นเครื่องมือที่จะช่วยเร่งวิวัฒนาการของมนุษย์ให้เป็นไปรวดเร็วขึ้นคุรุศรี ยุกเตศวรอธิบายแก่สานุศิษย์ทั้งหลายพวกโยคีโบราณได้ค้นพบความลี้ลับนี้ว่าจิตทิพย์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดอยู่กับการควบคุมลมหายใจ เคล็ดลับอันนี้ถือว่าเป็นคุณูปการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะและอมตะไม่มีวันตายของอินเดียที่มีต่อขุมทรัพย์แห่งปัญญาของโลก พลังชีวิตซึ่งตามปกติจะถูกซึมซับให้ไปทำหน้าที่รักษาการทำงานของหัวใจก็จะต้องถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระเพื่อนำไปใช้สำหรับกิจกรรมที่สูงส่งกว่าโดยวิธีระงับความต้องการหายใจที่ไม่มีวันสิ้นสุดไว้ให้สงบนิ่งอยู่กับที่

กริยะโยคีใช้จิตบังคับพลังงานชีวิตให้หมุนเวียนขึ้นลงอยู่รอบๆศูนย์กลางหรือจักรที่อยู่บริเวณสันหลัง(ที่กระหม่อม, คอ, หลัง, เอว, กระเบนเหน็บ และกระดูกก้นกบ) ซึ่งก็ตรงกับ 12 จักราศีในทางโหราศาสตร์ของมนุษย์จักรวาล ครึ่งนาทีของการหมุนเวียนของพลังงานชีวิตรอบไขสันหลังที่มีความไวต่อความรู้สึกมากของมนุษย์นี้จะส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าในวิวัฒนาการของมนุษย์ กล่าวคือการหมุนเวียนโดยใช้เวลาครึ่งนาทีของกริยะโยคะนี้มีค่าเท่ากับหนึ่งปีของวิวัฒนาการที่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
 

ระบบทิพย์ของมนุษย์ที่ประกอบด้วยกลุ่มดาวภายใน 6 ดวงที่หมุนรอบดวงอาทิตย์คือตาทิพย์ นี้มีความโยงใยกับดวงอาทิตย์และสิบสองจักรราศีภายนอก ด้วยเหตุนี้มนุษย์ทุกคนก็จึงได้รับผลกระทบทั้งจากจักวาลภายในและจักรวาลภานอก พระฤาษีในอดีตได้ค้นพบว่าสภาพแวดล้อมทั้งจากโลกและจากท้องฟ้าของมนุษย์ในรอบสิบสองปีจะผลักดันให้มนุษย์ก้าวไปข้างหน้าตามเส้นทางตามธรรมชาติ ในพระคัมภีร์ฮินดูกล่าวว่ามนุษย์เราหากปล่อยให้วิวัฒนาการเป็นไปตามธรรมชาติก็จะต้องใช้เวลาหลายล้านปีกว่าที่มันสมองของมนุษย์จะมีความสมบูรณ์พอที่จะแสดงความพร้อมที่จะเข้าถึงพระเป็นเจ้าได้

แต่เมื่อนำกริยะโยคะมาปฏิบัติโดยใช้เวลาแปดชั่วโมงครึ่งเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ก็จะทำให้พระโยคีมีวิวัฒนาการทางสมองเท่ากับเวลาหนึ่งพันปีของวิวัฒนาการตามธรรมชาติ หากพระโยคีปฏิบัติกริยะโยคะแค่ปีดียวก็จะมีวิวัฒนาการทางสมองเท่ากับวิวัฒนาการตามธรรมชาติถึง 365,000 ปี เพราะฉะนั้นภายในเวลา 3 ปี กริยะโยคีก็จะประสบความสำเร็จในการพัฒนาจิตเทียบกับเวลาหนึ่งล้านปีของวิวัฒนาการตามธรรมชาติ กริยะโยคะนี้เป็นทางลัดที่สามารถนำมาให้โยคีที่พัฒนาจิตในระดับสูงแล้วใช้ได้ โดยอาศัยการแนะนำของท่านคุรุ โยคีที่พัฒนาในระดับสูงแล้วก็จะสามารถเตรียมร่างกายและสมองของตนให้พร้อมที่จะต้านทานพลังที่เกิดจากการปฏิบัติอย่างเร่งรัดได้

ผู้เริ่มปฏิบัติกริยะโยคะจะใช้เทคนิควิธีโยคะนี้เพียง 14 ถึง 24 ครั้งต่อ 1 วันๆละ 2 ครั้ง โยคีบางพวกสามารถถึงความหลุดพ้นได้ภายใน 6 ปี บางพวก 12 ปี บางพวก 24 ปี บางพวก 48 ปี โยคีที่เสียชีวิตก่อนที่จะบรรลุการเข้าถึงพระเป็นเจ้าก็จะพกกรรมดีของการปฏิบัติกริยะโยคะนี้ติดตัวไป เมื่อไปเกิดในชาติใหม่โยคีก็จะถูกผลักดันให้ดำเนินไปสู่เป้าหมายนั้นในที่สุด

ร่างกายของมนุษย์เราโดยเฉลี่ยแล้วมีแรงต้านทานเท่ากับแรงของหลอดไฟขนาด 50 วัต ซึ่งก็จะไม่สามารถรองรับพลังงานนับล้านวัตที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติกริยะโยคะเกินขนาดได้ แต่เมื่อใช้วิธีการของกริยะโยคะค่อยๆเพิ่มพลังงานเข้าไปที่ละน้อยๆอย่างต่อเนื่องร่างกายของมนุษย์ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงไปทุกวันและในที่สุดแล้วก็จะพร้อมที่จะแสดงศักภาพของพลังจักรวาลออกมาได้

กริยะโยคะไม่มีอะไรเหมือนกับการฝึกหายใจที่ขัดกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ตามที่มีสอนกันในหมู่คนที่ไม่เข้าใจในเรื่องนี้ โดยคนเหล่านี้จะพยายามกลั้นลมหายใจไว้ในปอดซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติและก่อให้เกิดอันตรายได้ ส่วนการปฏิบัติใช้วิธีกริยะโยคะจะตามมาด้วยความรู้สึกที่สงบและความรู้สึกสดชื่นที่เกิดขึ้นที่บริเวณสันหลัง

เทคนิควิธีทางโยคะโบราณนี้จะทำการเปลี่ยนลมหายใจให้เป็นจิต เมื่อฝึกจนเกิดความก้าวหน้ายิ่งขึ้นแล้วผู้ฝึกก็จะสามารถกำหนดรู้ว่าลมหายใจคือจิต มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการหายใจของมนุษย์กับสภาวะต่างๆของจิตของมนุษย์ เช่น บุคคลที่กำลังมีใจจดจ่ออยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ในขณะที่สนใจการอภิปรายเรื่องทางวิชาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือกำลังพยายามทำในสิ่งที่ยากลำบากมากๆอย่างใดอย่างหนึ่ง บุคคลผู้นี้จะหายใจเข้าออกช้ามาก สรุปได้ว่าเวลามีจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็จะทำให้คนเราหายใจเข้าออกช้า แต่จะหายใจเข้าออกเร็วและไม่เป็นจังหวะเมื่อตกอยู่ในสภาวะทางอารมณ์ที่มีอันตราย เช่น ขณะกลัว ขณะมีกามราคะ ขณะโกรธ ลิงที่กระโดดโลดเต้นไปมาจะหายใจในอัตราเฉลี่ย 32 ครั้งต่อนาที ตรงกันข้ามกับมนุษย์เราที่หายใจในอัตราเฉลี่ยเพียง 18 ครั้งต่อนาที พวกสัตว์ เช่น ช้าง เต่า งู และสัตว์อื่นๆที่มีอายุขัยยืนยาวมากๆนั้นมีอัตราการหายใจที่สั้นกว่ามนุษย์มาก ยกตัวอย่างเช่น เต่ายักษ์ซึ่งอาจมีอายุขัยถึง 300 ปีนั้น จะหายใจเข้าออกเพียง 4 ครั้งต่อนาทีเท่านั้นเอง
 

การที่การนอนหลับส่งผลให้มนุษย์เราเกิดความสดชื่นกระชุ่มกระชวยขึ้นมานั้นก็เพราะว่าในขณะหลับมนุษย์เราไม่ได้นึกถึงร่างกายและนึกถึงการหายใจของตนเอง ในระหว่างหลับการหายใจเข้าออกของคนเราจะช้าและมีความสม่ำเสมอยิ่งกว่าเมื่อตอนตื่น คนนอนหลับจึงได้กลายเป็นโยคี ในแต่ละคืนคนนอนหลับได้ปฏิบัติโยคะโดยไม่รู้ตัวด้วยการปลดปล่อยตนเองออกจากความผูกพันทางร่างกาย แล้วทำการผสมผสานพลังชีวิตเข้ากับพลังคลื่นรักษาโรคซึ่งอยู่ที่บริเวณมันสมองใหญ่และอยู่ที่ศูนย์กลางหรือจักร 6 แห่งที่บริเวณสันหลังของคนเรา ด้วยเหตุนี้คนนอนหลับก็จึงได้รับการบรรจุพลังจักรวาลเข้าไปช่วยธำรงชีวิตให้ยืนยาวต่อไปได้โดยไม่รู้ตัว

ส่วนโยคีที่ปฏิบัติโยคะตามกระบวนการง่ายๆและเป็นธรรมชาติด้วยความตั้งใจนั้นจึงแตกต่างจากคนนอนหลับที่ปฏิบัติโยคะในช่วงเวลาสั้นๆด้วยความไม่ตั้งใจ กริยะโยคีได้ใช้เทคนิควิธีทางโยคะของท่านทำการชโลมเซลล์ในร่างกายของท่านด้วยแสงทิพย์ที่มีอานุภาพในการชะลอความผุพังและรักษาเซลล์เหล่านี้ให้อยู่ในสภาวะที่ไม่ทรุดโทรมพุพังได้ ท่านจึงไม่จำเป็นต้องหายใจ และไม่จำเป็นต้องนอนหลับในช่วงหลายๆชั่วโมงที่ปฏิบัติโยคะอยู่นั้น

ในหมู่มนุษย์ที่ยังตกอยู่ภายใต้มายาหรือกฎธรรมชาตินั้น การเคลื่อนไหวของพลังชีวิตจะมีลักษณะเคลื่อนไหวออกไปสู่โลกภายนอก ทำให้กระแสแห่งพลังชีวิตสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ การปฏิบัติกริยะโยคะจะช่วยให้เกิดการเลื่อนไหลของพลังชีวิตกลับทางกัน คือพลังชีวิตจะถูกจิตบังคับให้ไหลเข้าไปสู่จักวาลภายในร่างกายและให้ไปผสมผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพลังไขสันหลังที่ละเอียดอ่อน โดยอาศัยการระดมพลังชีวิตให้เข้ามาสู่ร่างกายด้วยวิธีดังกล่าวเซลล์ร่างกายและเซลล์สมองของโยคีก็ถูกปลูกขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำอมฤตทางจิตวิญญาณ

มนุษย์เราที่ดำเนินชีวิตโดยได้รับประทานอาหารที่พอเหมาะพอควร ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ มีความรู้สึกนึกคิดสอดประสานกลมกลืนกับธรรมชาติ หากปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามกระแสของธรรมชาติและตามบัญชาของพระเป็นเจ้าแล้ว ก็จะสามารถบรรลุถึงการเข้าถึงพระเป็นเจ้าได้โดยใช้เวลาถึงหนึ่งล้านปี แค่เพียงจะให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของสมองเพียงนิดเดียวก็จะต้องใช้เวลานานถึง 12 ปี เวลาหนึ่งล้านปีนี้ก็จะช่วยชำระสมองของมนุษย์ให้พร้อมที่จะใช้จิตติดต่อกับพระเป็นเจ้าได้ แต่คนที่ฝึกกริยะโยคะหรือกริยโยคีนี้เมื่อได้ใช้กริยะโยคะอันเป็นศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์นี้มาปฏิบัติแล้ว ก็จะไม่มีความจำเป็นต้องใช้เวลาที่ยาวนานถึงล้านปีตามข้อกำหนดของธรรมชาติ

กริยะโยคะนี้จะไปช่วยปลดสายใยของลมหายใจที่พันธนาการวิญญาณให้ติดอยู่กับร่างกายให้ขาดออกจากกัน ซึ่งก็จะส่งผลให้บุคคลนั้นมีอายุขัยยืนนานและมีวิญญาณได้รับการขยายให้มีขนาดใหญ่โตเป็นอเนกอนันต์ เทคนิคทางโยคะนี้ยังจะช่วยให้สามารถเอาชนะความขัดแย้งระหว่างจิตกับกายและช่วยปลดเปลื้องผู้ปฏิบัติให้ได้รับอิสรภาพกลับไปได้อาณาจักรนิรันดรของตนอีกครั้งหนึ่ง ต่อจากนั้นผู้ปฏิบัติก็จะรู้ชัดว่าตัวตนหรือวิญญาณที่แท้จริงของตนไม่ผูกพันธนาการอยู่กับร่างกายและลมหายใจ อันเป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ที่จะต้องตายซึ่งยังจะต้องตกเป็นทาสของอากาศและสิ่งผูกพันของธรรมชาติ โยคีที่ปฏิบัติกริยะโยคะนี้จะสามารถควบคุมร่างกายและจิตของตนได้ และในที่สุดก็จะได้รับชัยชนะเหนือศัตรูคนสุดท้ายกล่าวคือความตายได้(หมายเหตุ : ท่านโยคีบรมหงส์ โยคานันทะ ผู้ประพันธ์หนังสือเรื่องนี้ เมื่อละสังขารแล้วปรากฏว่าร่างกายของท่านไม่เน่าเปื่อย ข้อนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าท่านเป็นกริยะโยคีที่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุรุผู้ยิ่งใหญ่จะมีร่างกายไม่เปื่อยเน่าหลังจากละสังขารอย่างนี้ทุกรูป คัมภีร์ในศาสนาฮินดูบอกว่าปาฏิหาริย์เช่นนี้จะเกิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ อย่างในกรณีของท่านโยคบรมหงส์วัตถุประสงค์พิเศษที่ว่านี้ก็คือเพื่อต้องการจะยืนยันแก่ชาวตะวันตกให้เห็นคุณค่าของโยคะ)
 

การนั่งนิ่งเฉยโดยไม่ทำการควบคุมทั้งกายและใจนั้นไม่ใช่แนวทางทางวิทยาศาสตร์ เป็นเพียงการพยายามที่จะบังคับจิตและกายที่ถูกพลังชีวิตผูกมัดไว้ด้วยกันให้แยกออกจากกัน ในกรณีนี้จิตที่พยายามจะกลับคืนไปสู่พระเป็นเจ้าจะถูกยื้อยุดโดยกระแสชีวิตให้กลับคืนมาสู่กาย แต่กริยะโยคะซึ่งทำการควบคุมจิตโดยตรงโดยอาศัยพลังชีวิตเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด มีประสิทธิผลมากที่สุดและเป็นหนทางที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดที่จะนำไปสู่พระเป็นเจ้า หากจะเปรียบกับวิธีการอีกอย่างหนึ่งข้างต้นก็จะเห็นว่า การนั่งนิ่งเฉยโดยไม่ควบคุมกายและจิตเป็นหนทางสู่พระเป็นเจ้าแบบเชื่องช้ามากเหมือนเกวียนเทียมโคแต่วิธีกริยะโยคะอาจจะเรียกว่าเป็นทางที่รวดเร็วมากเหมือนเดินทางไปโดยทางเครื่องบิน

โยคศาสตร์มีรากฐานมาจากการทดลองในเชิงประจักษ์ในการทำสมาธิภาวนาทุกรูปแบบ วิธทางโยคะจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติสามารถปิดเปิดกระแสชีวิตที่จะไหลไปสู่สัมผัสทั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส และผัสสะได้ตามความปรารถนา เมื่อสามารถปิดเปิดกระแสชีวิตที่เชื่อมโยงกับสัมผัสทั้ง 5 นี้ได้แล้ว โยคีก็จะพบว่าเป็นเรื่องง่ายๆที่จะเชื่อมจิตของตนกับโลกสวรรค์หรือกับโลกมนุษย์ และโยคีก็จะไม่ถูกพลังชีวิตฉุดดึงให้หวนกลับมาสู่กระแสแห่งสัมผัสทั้ง 5 และการคิดที่ฟุ้งซ่านอีกต่อไป

ชีวิตของกริยะโยคีที่ได้รับการพัฒนาทางจิตมาเป็นอย่างดีแล้ว จะไม่ได้รับอิทธิพลจากผลของการกระทำในอดีต แต่จะได้รับอิทธิพลจากจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้กริยะโยคีจึงไม่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาจิตนานเป็นล้านๆปีกว่าจะได้หลุดพ้น

วิธีทางโยคะที่ดีกว่าวิธีอื่นๆนี้จะปลดปล่อยโยคีออกจากคุกที่คุมขังคืออัตตาของตน ซึ่งก็จะทำให้โยคีได้ลิ้มรสจากการได้ติดต่อกับพระเป็นเจ้า ส่วนการปล่อยชีวิตให้ตกเป็นทาสของธรรมชาติโดยให้ค่อยวิวัฒนาการไปเรื่อยๆนั้นจะทำให้เกิดการวิวัฒนาการที่เชื่องช้ามาก คนที่ดำเนินชีวิตไปตามระบบวิวัฒนาการก็จะไม่สามารถควบคุมความเร็วช้าของธรรมชาติได้ เขาก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนับเป็นล้านๆปีกว่าจะหลุดพ้นจากมายาจนสามารถติดต่อกับพระเป็นเจ้าได้

วิธีทางโยคะซึ่งจะทำให้โยคีสลัดตนออกออกจากพันธนาการทางกายและทางจิตไปเป็นวิญญาณนี้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปฏิวัติไม่ยอมตกอยู่ภายใต้กระแสของธรรมชาติที่ต้องใช้เวลากว่าจะหลุดพ้นนับล้านปีนั้น แต่ตัวเลขล้านปีนี้อาจจะต้องขยายออกเป็นสองล้านปีสำหรับคนธรรมดาที่มีชีวิตและจิตไม่สอดประสานกับธรรมชาติกว่าจะได้หลุดพ้นไปจากโลกมายา

คนเรามีน้อยคนหรือไม่มีเลยที่จะรู้ว่าร่างกายของคนเราเป็นอาณาจักรๆหนึ่ง ซึ่งมีองค์จักรพรรดิวิญญาณทรงเป็นผู้ปกครองโดยประทับนั่งอยู่บนบัลลังค์ศีรษะมนุษย์ มีผู้สำเร็จราชการไปทำงานต่างเนตรพระกรรณอยู่ตามศูนย์การปกครองคือศูนย์สันหลังจำนวน 6 ศูนย์หรือ 6 จักร อำนาจอธิปไตยของอาณาจักรแห่งนี้ครอบคลุมชีวิตของพสกนิกรจำนวนมากมาย พสกนิกรเหล่านี้ก็คือบรรดาเซลล์ต่างๆที่มีราว 27 ล้านล้านเซลล์ซึ่งแต่ละเซลล์ก็ทำหน้าที่ของตนๆต่อร่างกาย เช่น หน้าที่สร้างความเจริญเติบโตให้แก่ร่างกาย หน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย และหน้าที่ในการละลายในร่างกาย เป็นต้น นอกจากนี้แล้วพสกนิกรของอาณาจักรแห่งนี้ก็คือสิ่งที่เป็นนามธรรมต่างๆได้แก่ ความคิด อารมณ์ และสิ่งอื่นๆ ที่ประเมินแล้วก็เป็นจำนวนราว 50 ล้านชนิด

ความกระด้างกระเดื่องที่เกิดขึ้นในอาณาจักรคือร่างกายหรือจิตของมนุษย์เพื่อต่อต้านองค์จักพรรดิวิญญาณ เช่น โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มิได้มาจากพสกนิกรเช่นเซลล์และอารมณ์เป็นต้นแต่อย่างใด แต่ทว่ามาจากการที่มนุษย์เราใช้เจตจำนงอิสระที่ได้รับการประทานมาพร้อมกับวิญญาณอย่างผิดๆ
 

มนุษย์ที่คิดว่าตนเองเป็นอัตตาจะมีความคิดว่าตนเองเท่านั้นที่เป็นผู้คิด เป็นผู้แสดงเจตนารมณ์ เป็นผู้แสดงความรู้สึก เป็นผู้ย่อยอาหาร และเป็นผู้ธำรงชีวิตให้คงอยู่ เขาจะไม่คิดว่าในชีวิตปกติของเขานั้นเขาเป็นแต่เพียงหุ่นยนต์ของการกระทำ(กรรม)ในอดีต เป็นหุ่นยนต์ของธรรมชาติและหุ่นยนต์ของสภาพแวดล้อม ปฏิกิยา ความรู้สึก อารมณ์ และลักษณะนิสัยของมนุษย์แต่ละคนนั้นเป็นผลพวงมาจากสาเหตุที่มีมาแต่อดีตไม่ว่าจะเป็นอดีตในชีวิตนี้หรืออดีตแต่ชาติก่อน แต่อิทธิพลที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างก็คือวิญญาณของมนุษย์นั่นเอง กริยะโยคีเมื่อมีอิสระแล้วก็จะก้าวพ้นไปจากมายาทั้งปวงและกลายไปเป็นวิญญาณหรือแก่นแท้ของมนุษย์ที่ปราศจากเครื่องร้อยรัดใดๆ คัมภีร์ของศาสนาต่างๆกล่าวตรงกันว่า แก่นแท้ของมนุษย์นี้ไม่ใช่ร่างกายที่ไม่ยั่งยืนเปื่อยเน่าพุงพังแต่คือวิญญาณที่มีชีวิตอยู่หลังการตายของมนุษย์
 
พิธีกรรมภายนอกไม่สามารถทำลายอวิชชาได้เพราะว่าทั้งพิธีกรรมและอวิชชาหาได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันไม่ท่านศังการาจารย์เขียนไว้ในคัมภีร์ที่มีชื่อเสียงของท่านชื่อศตวรรษแห่งคำร้อยกรอง” “แต่ความรู้ที่เกิดจากการรู้แจ้งเห็นจริงเท่านั้นจึงจะทำลายอวิชชาได้….ความรู้ธรรมดาๆเกิดจากการไตร่สวนอย่างเดียว เช่นว่า เราเป็นใคร จักรวาลนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้สร้างจักรวาลขึ้นมา อะไรคือแก่นแท้ของจักรวาล นี่คือการไต่สวนตามที่อ้างถึง

ความรู้ที่เป็นพุทธิปัญญาไม่มีคำตอบสำหรับปัญหาเหล่านี้ เพราะฉะนั้นพระฤาษีทั้งหลายจึงคิดค้นหาโยคะมาใช้เป็นเทคนิควิธีของการไตร่สวนทางจิตเพื่อหาคำตอบ

โยคีแท้ๆจะยุติความคิด เจตจำนง ความรู้สึกที่จะทำให้ผูกพันอยู่กับร่างกาย แล้วนำจิตของตนไปเชื่อมต่อกับพลังทิพย์ที่อยู่ตามจุดต่างๆที่สันหลัง ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกตามที่พระเป็นเจ้าได้ลิขิตไว้แล้ว และไม่ถูกผลักดันจากแรงกระตุ้นทั้งที่เป็นอดีตและเป็นปัจจุบันของมนุษย์ เมื่อโยคีได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดแล้วก็จะมีความความปลอดภัยอยู่ในดินแดนที่มีแต่ความเกษมสุขชั่วนิจนิรันดร์

พระกฤษณะได้กล่าวถึงโยคะว่าเป็นวิธีการที่มีความแน่นอนและมีประสิทธิผลมากที่สุดและท่านได้ยกย่องโยคีที่ใช้วิธีทางโยคะไว้ในตอนหนึ่งของคัมภีร์ภควัทคีตาดังนี้

โยคีมีความยิ่งใหญ่กว่าฤาษีผู้ควบคุมร่างกาย และยิ่งใหญ่กว่าผู้ปฏิบัติตามทางแห่งปัญญา(ชญาณโยคะ) หรือผู้ปฏิบัติตามทางแห่งการกระทำ(กรรมโยคะ) ดูก่อนอรชุน เธอจงเป็นโยคีเถิด

กริยะโยคะเป็นพิธีไฟขนานแท้ ตามที่มีการยกย่องอยู่บ่อยครั้งในคัมภีร์ภควัทคีตา ซึ่งเป็นพิธีที่โยคีโยนตัณหาของมนุษย์ทิ้งลงไปในไฟทิพย์ที่ได้รับประทานมาจากพระเป็นเจ้า กริยะโยคะนี้จึงเป็นพิธีไฟของโยคะขนาดแท้ เป็นพิธีที่ตัณหาทั้งในอดีตและปัจจุบันถูกเผาโดยความรักของพระเป็นเจ้า เปลวไฟสุดท้ายนี้จะรองรับเอาความบ้าคลั่งทั้งหมดของมนุษย์เอาไว้และมนุษย์ก็จะมีความบริสุทธิ์สะอาดจากมลทินทั้งปวง มนุษย์ก็จะมีแต่ความบริสุทธิ์หมดจดปราศจากกิเลสตัณหา ปราศจากกรรมเพราะถูกชำระด้วยแสงแห่งดวงปัญญาได้ในที่สุด.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม