วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

วาทะของท่านโยคีบรมหงส์ โยคานันทะ

วาทะของท่านโยคีบรมหงส์ โยคานันทะ

Mankind is engaged in an eternal quest for that “something else” he hopes

 will bring him happiness, complete and unending. For those individual souls

who have sought and found God, the search is over: He is that Something

Else.

มนุษย์ดำเนินการแสวงหาอย่างถาวรเพื่อให้ได้”บางสิ่งบางอย่าง” ที่เขาหวังว่า

จะนำความสุขที่ถาวรและไม่มีที่สิ้นสุดมหาให้แก่ตน แต่ลำหรับจิตวิญญาณ


ของบุคคลที่แสวงหาจนพบพระเจ้าแล้ว  การแสวงหานั้นได้ยุติลงแล้ว พระเจ้า

ก็คือ”บางสิ่งบาอย่าง”นั่นแหละ.

Why should you think He is not? The ether is filled with music that is caught

by the radio — music that otherwise you would not know about. And so it is

 with God. He is with you every minute of your existence, yet the only way to

 realize this is to meditate.


ทำไมคุณถึงคิดว่าพระเจ้าไม่มี อากาศที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีนั้นสามารถรับได้

ด้วยเครื่องรับวิทยุ ทำให้คุณสามารถได้ยินเสียงดนตรีได้ นี่ก็เช่นเดียวกับพระ

เจ้า พระองค์อยู่กับคุณในทุกนาทีที่คุณมีชีวิตอยู่ แต่วิธีที่จะให้คุณรับรู้ได้ก็คือ

โดยการทำสมาธิ.

It is not a question of belief,” [my guru said]. “The scientific attitude one

 should take on any subject is whether it is true. The law of gravitation

worked as efficiently before Newton as after him. The cosmos would be fairly

chaotic if its laws could not operate without the sanction of human belief.”


“มันมิใช่ปัญหาของความเชื่อ” (คุรุของข้าพเจ้าบอก) ”ท่าทีทางวิทยาศาสตร์ที่

บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นก็คือมันเป็นความจริงหรือไม่? กฎแห่งความโน้ม

ถ่วงของโลกทำงานอย่างมีประสิทธิผลก่อนที่นิวตันจะค้นพบและหลังที่เขาค้น

พบแล้ว จักรวาลคงจะเกิดความวุ่นวายแน่หากฎของมันไม่สามารถทำงานได้

โดยปราศจากความเห็นชอบของความเชื่อของมนุษย์.”

Our great whirling planet, our human

 individuality, were not given to us merely that

 we might exist for a time and then vanish into

 nothingness, but that we might question what

 it is all about.To live without understanding

 the purpose of life is foolish, a waste of time.

The mystery of life surrounds us; we were

 given intelligence in  order to solve it.

โลกอันกว้างใหญ่ของเรา กล่าวคือความเป็นมนุษย์ของเรานี้ มิได้ถูกประทาน

มาให้แก่เราเพียงเพื่อที่จะให้เราดำรงอยู่ชั่วกาลแล้วเสื่อมสูญไปในความไม่มี

อะไร แต่เป็นสิ่งที่เราพึงตั้งคำถามว่ามันเป็นสิ่งอะไรกันแน่ การอาศัยอยู่ในโลก

นี้โดยไม่รู้วัตถุประสงค์ของชีวิตเป็นความโง่เขลา เป็นการเสียเวลาเปล่า สิ่งลี้

ลับแห่งชีวิตห้อมห้อมเราอยู่ เราได้รับประทานดวงปัญญามาเพื่อที่จะได้นำมา

ใช้ตอบคำภามในข้อนี้.

Change yourself and you have done your part in changing the world. Every

 individual must change his own life if he wants to live in a peaceful world.

The world cannot become peaceful unless and until you yourself begin to

work toward peace. It is only by removing hate from our hearts that we can

 live a Christ like life.

จงเปลี่ยนแปลงตัวคุณแล้วทำตัวของคุณให้มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงโลก

มนุษย์ทุกคนจะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองหากเขาต้องการจะมีชีวิตใน

โลกที่มีสันติภาพ โลกไม่สามารถมีสันติภาพได้หากตัวคุณเองไม่เริ่มทำงาน

เพื่อนำไปสู่สันติภาพนั้น  ด้วยการขจัดความเกลียดชังไปจากใจของเราเท่านั้น

ก็จะทำให้เราสามารถมีชีวิตประเสริฐดุจชีวิตของพระเยซูได้.

It is not your passing thoughts or brilliant ideas so much as your plain

everyday habits that control your life....Live simply. Don’t get caught in the

machine of the world — it is too exacting. By the time you get what you are

seeking your nerves are gone, the heart is damaged, and the bones are aching.

 Resolve to develop your spiritual powers more earnestly from now on. Learn

 the art of right living. If you have joy you have everything, so learn to be

glad and contented....Have happiness now.

มิใช่ความคิดที่ผ่านไปและแนวคิดอันบรรเจิดที่ควบคุมชีวิตของคุณ ทว่ามันคือ

ลักษณะนิสัยประจำวันที่เรียบง่ายของคุณที่ควบคุมชีวิตของคุณ  จงดำรงชีวิตที่

เรียบง่าย  อย่าได้ขัดขวางกลไกของโลก ปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมัน

 เมื่อใดที่คุณได้สิ่งที่เสาะแสงหานั้นแล้ว ประสาทของคุณก็จะหมดสิ้นไป ใจ

ของคุณก็จะถูกทำลาย  กระดูกของคุณก็จะเกิดการเจ็บปวด จงมุ่งมั่นที่จะ

พัฒนาพลังจิตของคุณให้มากตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จงเรียนรู้ในศิลปะแห่งการ

ดำชีวิตที่ถูกต้อง หากคุณมีความสุข คุณก็จะมีทุกสิ่ง ดังนั้นจงเรียนรู้ที่จะยินดี

และพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ขอจงมีความสุขตั้งแต่บัดนี้.

Birth, play, marriage, children, old age — life is finished. That is not living!

Life is much deeper and more wonderful than that.... When you know God,

 there is no more sorrow. All those you loved and lost in death are with you

 again in the Eternal Life.

การเกิด การเล่น การแต่งงาน ความเป็นเด็ก และวัยชรา  -เป็นชีวิตที่สิ้นสุดลง

แล้ว นั้นมิใช่ชีวิตที่แท้จริง  ชีวิตเป็นสิ่งที่ลึกล้ำและวิเศษยิ่งไปกว่านั้น ...เมื่อคุณ

รู้จักพระเจ้าแล้ว ก็จะไม่มีความเศร้าโศกอีกต่อไป บุคคลที่คุณรักและสูญเสียไป

ในความตายทุกคนนั้นก็จะได้ไปอยู่กับคุณอีกครั้งหนึ่งในวิชิตนิรันดร.

Your being has two sides — one visible, the other invisible. With open eyes

 you behold objective creation, and yourself in it. With closed eyes you see

 nothing, a dark void; yet your consciousness, even when dissociated from

 form, is still keenly aware and operative. If in deep meditation you penetrate

the darkness behind closed eyes, you behold the Light from which all creation

 emerges. By deeper samadhi, your experience transcends even the

 manifested Light and enters the All-Blissful Consciousness — beyond all

 form, yet infinitely more real, tangible, and joyous than any sensory or

supersensory perception.

ตัวตนของคุณมีสองด้าน ด้านหนึ่งก็สิ่งที่มองเห็น และอีกด้านหนึ่งคือสิ่งที่มอง

ไม่เห็น ด้วยดวงตาที่ลืมคุณก็จะมองเห็นสิ่งสร้างสรรค์ที่เป็นวัตถุและตัวตน

ของคุณที่อยู่ในสิ่งสร้างสรรค์ที่เป็นวัตถุนั้น  ด้วยดวงตาที่หลับคุณจะไม่เห็นสิ่ง

ใดนอกจากความมิดที่ว่างเปล่าก็จริง  แต่จิตของคุณแม้ว่าจะมิได้เชื่อมโยงกับ

รูปก็ยังสามารถรับรู้และทำงานอยู่ได้ หากใช้สมาธิที่ดื่มด่ำแน่วแน่คุณก็จะมอง

ทะลุความมืดที่อยู่เบื้องหลังดวงตาที่หลับนั้น และก็จะมองเห็นแสงสว่างอัน

เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งสร้างสรรค์ทั้งปวงได้ โดยอาศัยสมาธิที่ดื่มด่ำ

ประสบการณ์ของคุณก็จะอยู่เหนือแม้แต่แสงสว่างที่ปรากฏนั้นและจะได้เข้าถึง

สภาวะจิตที่มีความสุขนิรันดร์ อันเป็นความสุขที่อยู่รูปทั้งปวง แต่เป็นสภาวะ

ความสุขที่เป็นจริงนิรันดร์ สามารถจับต้องได้ และเป็นสุขกว่าการรับรู้ด้วย

ประสาทสัมผัสทั้งห้าใดๆ.

In seemingly empty space there is one Link, one Life eternal, which unites

 everything in the universe — animate and inanimate — one wave of Life

 flowing through everything.

ในอวกาศที่รู้สึกว่าว่างเปล่านี้ ยังมีความเชื่อมโยงอย่างหนึ่ง คือความเชื่อมโยงนิ

รันดร์ ซึ่งทำการเชื่อมโยงทุกสิ่งในจักรวาล เข้าด้วยกัน ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งมี

ชีวิตหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ตาม โดยมีคลื่นแห่งชีวิตอย่างหนึ่งไหลผ่านทุกสิ่ง

ทุกอย่างไป.


วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

ศรี มิระนลินี มาตา (Mrinalini Mata)

ศรี มิระนลินี มาตา (Mrinalini Mata)

 ศรี มิระนลินี มาตา (Mrinalini Mata) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1931 ที่เมืองวิชิตา มลรัฐแคนซัส สหรัฐอเมริกา  แต่มาเติบโตที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  มีชื่อเดิมคือ เมอร์นา ลอย บราวน์ (Merna Loy Brown) เป็นศิษย์ใกล้ชิดของท่านโยคีบรมหงส์ โยคานันทะ และได้รับการคัดเลือกจากท่านโยคีบรมหงส์ โยคานันทะให้เป็นผู้สืบสานงานของสมาคมสัจพัฒนาตนเอง (Self-Realization Fellowship) ภายหลังจากการละสังขารของท่าน และนางได้ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานของสมาคมสัจพัฒนาตนเองนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1966

ศรี มิระนลินี มาตา มีพื้นเพเดิมเคยนับถือศาสนาคริสต์นิกายมอร์มอน เช่นเดียวกับเพื่อนๆที่เป็นคณะกรรมการของสมาคมฯ คือ ทายะ มาตา, อานันทะ มาตา และตาระ มาตา

ย้อนรอยอดีตกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1945  ณ วัดสมาคมสัจพัฒนาตนเองที่ซานดิเอโก ศรี มิระนลินี มาตา ได้พบกับท่านโยคีบรมหงส์ โยคานันทะ เป็นครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นนางอายุแค่ 14 ปี ต่อจากนั้นมาอีกไม่กี่เดือนนางก็ได้เข้าสู่อาศรมของท่านโยคีบรมหงส์ โยคานันทะ ที่เมืองเอนซินิตัส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยได้บวชเป็นแม่ชีของคณะสงฆ์สมาคมสัจพัฒนาตนเอง

ปัจจุบัน ศรี มิระนลินี มาตา เข้าดำรงตำแหน่งเป็นประธานสมาคมสัจพัฒนาตนเองต่อจาก ศรี ทายะ มาตา ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 2011

ศรี ทายะ มาตา (Sri Daya Mata)

ศรี ทายะ มาตา (Sri Daya Mata)

ศรี ทายะ มาตา (Sri Daya Mata) มีชื่อเดิมว่า ราเชล เฟย์ ไรท์ (Rachel Faye Wright) มีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1914 ถึง 2010 เป็นศิษย์ระดับแนวหน้าของท่านโยคีบรมหงส์ โยคานันทะ ชื่อของท่านที่ว่า ศรี ทายะ มาตา มีความหมายว่า มารดาผู้มีความกรุณา 




ศรี ทายะ มาตาดำรงตำแหน่งประธานของสมาคมสัจพัฒนาตนเอง (Self-Realization Fellowship) ต่อจากท่านราชฤษี ชนากานันทะ  ระหว่างปี ค.ศ. 1955 ถึง ค.ศ. 2010 นับเป็นเวลาที่ยาวนานถึง 55 ปี




ย้อนความถึงในอดีต เมื่อปี ค.ศ. 1931 โยคีบรมหงส์ โยคานันทะ ได้เดินทางไปที่ซอลท์เลคซิตี (Salt Lake City) อันเป็นบ้านเกิดของนาง เพื่อจัดชั้นเรียนวิชาโยคะ ทายะ มาตา ตอนนั้นนางอายุเพียง 17 ปี ก็ได้ไปฟังปาฐกถาพร้อมด้วยมารดาและพี่สาว นางกล่าวถึงความประทับใจเป็นครั้งแรกของนางว่า


“ขณะที่ดิฉันยืนด้านหลังของห้องปาฐกถาที่คราคล่ำไปด้วยผู้คนนั้น ดิฉันเกิดความดื่มด่ำไม่ได้สังเกตสิ่งรอบข้างใดๆได้แต่ใจจดจ่อที่องค์ปาฐกและคำพูดของท่าน ทั่วสารพางค์กายของดิฉันถูกกำซาบไว้ด้วยดวงปัญญาและความรักอันเป็นทิพย์ที่หลั่งไหลเข้ามาสู่วิญญาณและท่วมทับทั่วหัวใจและจิตวิญญาณของดิฉัน ดิฉันได้แต่คิดว่า “ผู้ชายคนนี้รักพระเจ้าอย่างที่ฉันใฝ่ฝันต้องการรักพระองค์เสมอ เขารู้จักพระเจ้า ฉันจะตามเขาไป”

ราชฤษี ชนกานันทะ (Rajarsi Janakananda)

ราชฤษี ชนกานันทะ (Rajarsi Janakananda)


ราชฤษี ชนกานันทะ (Rajarsi Janakananda) (ชื่อเดิม เจมส์ เจสส์ ลินน์

=James Jesse Lynn) มีชีวิตอยู่ระหว่าง 5 มิถุนายน ค.ศ. 1892-20 กุมภาพันธุ์


ค.ศ. 1955 เป็นศิษย์ชั้นแนวหน้าของโยคีบรมหงส์ โยคานันทะ และเป็นนัก

ธุรกิจคนสำคัญในเมืองแคนซัสซิตี มลรัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกา 


เมื่อตอนที่มาพบกับโยคีบรมหงส์ โยคานันท์ เมื่อปี ค.ศ. 1932 ราชฤษี ชนกา

นันทะมีฐานะระดับเศรษฐี และ ต่อมาเขาได้บริจาคเงินจำนวน 6 ล้านดอลลาร์

ให้แก่องค์การ ของโยคีบรมหงส์  โยคานันทะ คือ องค์การสัจพัฒนาตนเองนี่

แหละ เพื่อให้องค์การสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน  


โยคีบรมหงส์ โยคานันทะ ได้เลือกราชฤษี ชนกานันทะผู้นี้เป็นประธาน

สมาคมสัจพัฒนาต่อจากท่าน  ราชฤษี ชนกานันทะจึงดำรงตำแหน่งเป็น

ประธานของสมาคมสัจพัฒนาตนเองตั้งแค่ ค.ศ. 1952 ถึง ค.ศ.1955 

บทความที่ได้รับความนิยม